จากบทความก่อนที่ได้พูดถึงว่า”ที่ปรึกษาการผลิต” ทำอะไร ทำไมถึงต้องมี วันนี้มาแนะท่านผู้อ่านว่าถ้าจะปรับปรุงการผลิตสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ
Smart Factory จะทำอย่างไร ดีลยังไง โมเดลแบบไหนบ้าง ก่อนที่จะพูดถึงโมเดลทำงานขออธิบายว่า
ถ้ากิจการของท่านต้องการเป็น Smart Factory จะมีอะไรที่ต้องทำบ้าง
ขั้นตอนปรับปรุงการผลิตสู่ระบบอัตโนมัติ
ประกอบด้วย
ข้อ1.ทำแบบระบบการผลิตใหม่
"แบบระบบการผลิตใหม่"
ผมได้พูดถึงในบทความตอนที่ 1ไปแล้วบ้าง(ในตัวอย่างการพัฒนาสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ
Smart Factory) ถ้าอธิบายให้ละเอียด "แบบระบบการผลิตใหม่"
คือส่วนประกอบต่างๆ ที่ใด้มาจากข้อกำหนดของระบบการผลิตที่ต้องการปรับปรุง แล้วนำมาวิเคราะ
คำนวณ สร้างโมเดล และทำเอกสารคุณลักษณะ ซึ่งประกอบด้วย
-แบบ 2D หรือ 3D แนวคิด(Conceptual Design) ของระบบการผลิตใหม่ทั้งหมด
-ข้อมูลด้านคุณภาพการผลิต
อัตราการผลิต ประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งคือข้อกำหนดโครงการหลัก
-รายการชิ้นส่วน/อุปกรณ์
และเครื่องจักรหลักที่ใช้ในโครงการ
-ขั้นตอน
และรายระเอียดการทำงานของระบบการผลิตใหม่
-งบประมาณโครงการ
-ข้อกำหนดโครงการอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการต้องการ เช่น ระบบ ลีน (lean) และ just in time เป็นต้น
-อื่นๆ
ตามที่ผู้ประกอบการต้องการเพิ่ม
โดย "แบบระบบการผลิตใหม่" ที่แล้วเสร็จ มี 3 ส่วนดังนี้
1.Conceptual Design สำหรับใช้นำเสนอ และการออกแบบ
2.เอกสารแสดงคุณลักษณะโครงการ
(specification)
3.เอกสารแสดงการประเมินราคาโครงการ
ต้นทุนพร้อมรายละเอียด
รูปตัวอย่าง
Conceptual Design
เป็นส่วนหนึ่งของแบบระบบการผลิตใหม่ ระบบหุ่นยนต์หยิบตะกร้า (รุ่น1)
รูปตัวอย่าง
Conceptual Design
เป็นส่วนหนึ่งของแบบระบบการผลิตใหม่ ระบบหุ่นยนต์หยิบตะกร้า (รุ่น1)
ข้อ2.ทำแผนโครงการ
แผนโครงการก็คือแผนงานการออกแบบ
ผลิต การจัดซื้อ/ว่าจ้าง และแผนสำรองแก้ไขปัญหา เป็นต้น ที่ได้ถูกจัดทำให้ทุกกระบวนการนั้นสอดคล้องกัน
เพื่อสำหรับติดตามความก้าวหน้าของโครงการซึ่งจะเป็นแผนหลักที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่านยึดถือและต้องดำเนินการตามแผน
ข้อ3.การผลิต
เป็นกระบวนการสำหรับออกแบบ
และผลิตระบบการผลิตใหม่ แบ่งเป็น 5 ส่วนดังนี้
3.1.การออกแบบทางกล/ทางไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์/ระบบควบคุม
และการเขียนโปรแกรม
3.2.การผลิตชิ้นส่วน เครื่องจักร กลไก (workpiece positioner & end of arm tooling) และหุ่นยนต์
3.3.จัดซื้อ/จัดหา
-วัสดุ-อุปกรณ์
เครื่องจักร กลไก และหุ่นยนต์ เป็นต้น
3.4.การผลิตระบบควบคุม
-ผลิตและติดตั้งระบบควบคุม
3.5.การประกอบ และการติดตั้ง
-กระบวนการนำเครื่องจักร
กลไก หุ่นยนต์ ระบบควบคุม และโปรแกรม
มาติดตั้งเข้าด้วยกันเพื่อให้ทำงานได้ตาม "แบบระบบการผลิตใหม่"
-กระบวนการต่อเชื่อมระบบการผลิตใหม่ให้ทำงานเข้ากับระบบการผลิตก่อนหน้า
หรือหลัง เพื่อให้ระบบการผลิตใหม่ทำงานต่อเนื่องเข้ากันได้กับระบบที่มีอยู่แล้วได้
ซึ่งเป็นกระบวนการทั้งทางกล ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ และระบบควบคุม
3.6.การทดสอบ
เพื่อประเมินการส่งงาน
-กระบวนทดสอบภายใต้ข้อกำหนดโครงการ
ทั้งข้อกำหนดหลัก และข้อกำหนดอื่นๆ เช่น ทดสอบหาอัตราทำงานสูงสุด หรือ
ทดสอบหาความผิดพลาดการผลิต (วัดคุณภาพการผลิต)
เป็นต้น โดยต้องเป็นไปตามเอกสารแสดงคุณลักษณะโครงการ
-ประเมินงานตาม
เอกสารแสดงคุณลักษณะโครงการ เพื่อพิจารณาข้อกำหนดไหนผ่าน
หรือไม่ผ่าน พร้อมนำเสนอวิธีแก้ไข
ข้อ4.การแก้ไข
ข้อนี้จะเกิดขึ้นเมื่อโครงการไม่ผ่าน
ซึ่งต้องมีการแก้ไขเพื่อให้ผ่านต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตสินค้าใด หรือกิจการนั้นจะมีข้อจำกัดด้านไหนบ้าง
โครงสร้างการทำงานของขั้นตอนปรับปรุงการผลิตสู่ระบบอัตโนมัติ ก็มี 3 ขั้นตอนหลักตามที่กล่าวมา
อาจจะแตกต่างในรายละเอียดกันบ้างตามความหลากหลายของระบบการผลิต และข้อจำกัดของผู้ประกอบการเอง
โมเดลการทำงานการปรับปรุงการผลิตสู่ระบบอัตโนมัติ
จากประสบการณ์ของผู้เขียนแล้ว
รูปแบบการทำงานระหว่างผู้ประกอบการ กับ เอาท์ซอร์ซ เช่น
maker หรือ
SI นั้น ก็มีหลักๆ อยู่
3 โมเดลดังนี้
โมเดลที่ 1.จ้างเหมา
ก็คือการที่ผู้ประกอบการได้ว่าจ้างเอาท์ซอร์ซให้ทำงานตามที่กิจการนั้นต้องการ ซึ่งผู้ประกอบการจะมีโจทย์
และข้อมูล(บางส่วน) ให้เท่านั้น และที่เหลือไม่ว่า แบบระบบการผลิตใหม่ แผนโครงการ และการผลิต(ทั้งหมด) นั้น เอาท์ซอร์ซจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
ซึ่งโมเดลนี้ผู้ประกอบการจะว่าจ้าง “ที่ปรึกษาการผลิต” เพิ่มหรือไม่ก็ได้
เงื่อนไข/จุดเด่น
-เหมาะกับที่มีประสบการณ์
โมเดลนี้เหมาะกับเอาท์ซอร์ซ
ที่มีประสบการณ์กับการพัฒนาระบบการผลิตใหม่
เช่น ผู้ประกอบการข้าวกล่อง ต้องการระบบการผลิตที่ จัดกล่อง เติมข้าว/กับข้าว
ตรวจสอบคุณภาพด้วย vision และปิดฝา
รวมถึงจัดเรียงลงกล่องอัตโนมัติ ถ้าเอาท์ซอร์ซมีประสบการทำงานลักษณะนี้อยู่แล้ว
เคยทำมาแล้ว โมเดลนี้เหมาะสม
-ไม่ยุ่งยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเหมาะสมที่สุด
-ควบคุมงบประมาณได้แน่นอน
เงื่อนไข/จุดอ่อน
-งบประมาณสูง
ในโมเดลนี้
เอาท์ซอร์ซจะทำทั้งหมด สำหรับเอาท์ซอร์ซที่มีประสบการณ์ย่อมเรียกค่าใช้จ่ายที่สูง
ซึ่งก็อธิบายได้เพราะเขาต้องรับผิดชอบทั้งระบบ และค่าประสบการณ์
ซึ่งพวกนี้เขาเอามาคิดแน่นอน
-ความยืดหยุ่นในระบบการผลิตใหม่?
อย่างที่ทุกคนทราบระบบการผลิตถึงแม้จะผลิตสินค้าเดียวกัน
แต่ผู้ประกอบการก็มีข้อจำกัดต่างกันในแต่ล่ะราย ข้อจำกัดยอดนิยมที่เจอบ่อยคือ
งบประมาณ และขนาดพื้นที่ แต่เมื่อคุณจ้าง เอาท์ซอร์ซที่ทำระบบการผลิต แบบนี้มาแล้ว
เขาจะยืดหยุ่นให้แค่ไหน นั้นเป็นคำถาม?
และยังต้องพิจารณาเรื่องกระบวนการนำวัตถุดิบเข้าสูงระบบการผลิตใหม่
และการนำสินค้าที่ผลิตแล้วออกไปด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้เขายืดหยุ่นให้แค่ไหน เขามีระบบรองรับหรือไม่
หรือเขาสามารถปรับเปลี่ยนจากระบบที่เคยทำมาแล้วให้เหมาะสมระบบใหม่นี้ ได้หรือไม่?
-ขอทุนไม่ได้
แน่นอนถ้าเป็นอะไรที่เคยทำแล้ว
คุณจะนำโครงการ หรือเครื่องจักรที่ใช้ในโครงการไปขอทุนสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ
คงไม่ได้ เช่น ขอทุนนวัตกรรม เป็นต้น
จำเป็นต้องมี“ที่ปรึกษาการผลิต” ไหม?
จากที่กล่าวข้างต้นว่าโมเดลนี้อาจไม่จำเป็นต้องมี“ที่ปรึกษาการผลิต”
ก็ได้ ซึ่งปัจจัยต่อไปนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าควรมีหรือไม่มี
ไม่ต้องมี “ที่ปรึกษาการผลิต” ?
ผู้ประกอบการมีพนักงานสามารถรับผิดชอบการดีลกับ
เอาท์ซอร์ซ และพนักงานคนนี้ หรือ ทีมนี้สามารถหาคำตอบในคำถามเหล่านี้ได้
(คัดมาบางส่วนจากตอนที่1)
-ทำงานได้จริงไหม ต่อเนื่องได้ไหม
-คุณภาพการผลิตตามที่ต้องการไหม
-อัตราการผลิตได้ไหม
-งบประมาณที่ใช้คุ้มค่าไหม
แล้วจะรู้ได้ไงว่าเหมาะสมแล้ว
-จัดการกับวัตถุดิบก่อนเข้าระบบผลิตอย่างไร just
in time ไหม
-จัดการกับสินค้าที่ผลิตแล้วอย่างไร
-ระบบทางกล และไฟฟ้าที่เลือกใช้
(เช่น servo motor) นั้นเหมาะสมหรือไม่ ทนทานน่าเชื่อถือไหม
ซื้อใหม่ราคาสูงไหม จัดส่งนานไหม
-ระบบควบคุมที่ใช้
เหมาะสมหรือไม่ หาคนอื่นมาแก้ไขได้ไหม หรือต้องพึ่งผู้พัฒนาเดิมตลอดไป
และระบบทันสมัยคุ้มค่าไหม
-ควบคุมให้ใช้วัสดุ
อุปกรณ์ตามที่เสนอได้อย่างไร ใครควบคุม?
-ควบคุมคุณภาพของเครื่องจักรที่ใช้ในโครงการ
เช่น หุ่นยนต์ workpiece positioner และ end
of arm tooling เป็นต้นนั้นได้อย่างไร ใครควบคุม?
-ซ่อมบำรุงจะใช้ต้นทุนสูงไหม และจะมีปัญหาไหม
ข้อนี้ผู้ประกอบก็ต้องพิจารณาเอง
แต่โดยทั่วไปแล้ว ถ้าไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ หรือมีความเสี่ยงไม่มาก
และไม่ได้มีปัญหาเรื่องงบประมาณ แบบนี้ “ที่ปรึกษาการผลิต” ก็อาจไม่จำเป็น
รูปโมเดลที่
1 กรณีไม่มี “ที่ปรึกษาการผลิต”
สรุป ง่ายๆ สำหรับโมเดลที่ 1
ให้เอาท์ซอร์ซทำทั้งหมด แต่เอาท์ซอร์ซต้องเคยทำงานแบบนี้มาก่อนแล้ว หรือมีประสบการณ์อย่างดี
รูปโมเดลที่
1 กรณีมี “ที่ปรึกษาการผลิต”
โมเดลที่ 2.ว่าจ้างแบบจำกัด
ก็คือการที่ผู้ประกอบการได้ว่าจ้าง
ให้“ที่ปรึกษาการผลิต” ทำแบบระบบการผลิตใหม่ และแผนโครงการ โดยส่วนการผลิต(ทั้งหมด) ให้เอาท์ซอร์ซทำ เหตที่ใช้วิธีนี้ เพราะระบบการผลิตใหม่นั้นมีลักษณะพิเศษเฉพาะ
และไม่สามารถหาเอาท์ซอร์ซที่เคยมีประสบการณ์ได้ หรือมีแต่พบว่ายังมีข้อบกพร่อง
เช่น ระบบป้อนตะกร้าเข้าเครื่องล้างตะกร้า
นั้นในต่างประเทศมีเอาท์ซอร์ซที่พัฒนาระบบอัตโนมัติ แบบนี้อยู่ แต่เป็นการใช้ระบบสายพานลำเลียงจำนวนมากลำเลียงตะกร้า
และคว่ำตะกร้า ซึ่งมีข้อด้อยคือใช้พื้นที่มากกว่า 10 หรือ 20เท่า ส่วนระบบที่ใช้ในพื้นที่จำกัดก็ไม่มีคนเคยทำ
เป็นต้น
ตัวย่างระบบป้อนตะกร้าเข้าเครื่องล้างตะกร้าด้วยระบบลำเลียงสายพานจำนวนมาก
ใช้พื้นที่มาก ของเอาท์ซอร์ซต่างประเทศ
ขั้นตอนการทำงานของ
โมเดลที่ 2.ว่าจ้างแบบจำกัด
ขั้นที่ 1.“ที่ปรึกษาการผลิต” จะเป็นผู้ทำแบบระบบการผลิตใหม่ สิ่งที่ได้ คือเอกสารแสดงคุณลักษณะโครงการ Conceptual
Design เอกสารแสดงการประเมินราคาโครงการ และแผนโครงการ
ขั้นที่ 2.“ที่ปรึกษาการผลิต” คัดเลือกเอาท์ซอร์ซตามข้อกำหนดที่วางไว้
เช่น ด้านความลับการค้า/ความเหมาะสม และส่งมอบ เป็นต้น
-เอกสารแสดงคุณลักษณะโครงการ เวอร์ชั่นเอาท์ซอร์ซ
เป็นเอกสารที่ปรับแก้เพื่อป้องกันความลับการค้ารั่วไหล
-Conceptual Design เวอร์ชั่นเอาท์ซอร์ซ
โดยให้ เอาท์ซอร์ซ เสนอแผนงาน และราคาโครงการ
ซึ่ง“ที่ปรึกษาการผลิต”
จะเข้าไปดูในรายละเอียดทั้งหมดว่าที่เอาท์ซอร์ซเสนอมานั้น เหมาะสม
และเป็นไปตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ และคุ้มค่าต่อราคาโครงการหรือไม่ และรวมถึงความน่าเชื่อถือในการทำงานว่ามีโอกาสล้มเหลวแค่ไหน
หรือจะมีข้อเป็นห่วงอะไรบ้าง เป็นต้น
ขั้นที่ 3.การผลิต
“ที่ปรึกษาการผลิต” ทำหน้าที่ติดตาม
ตรวจสอลการผลิตให้เป็นไปตามแผนโครงการ และ แบบระบบการผลิตใหม่ ตามที่แสดงใว้ข้างต้น
เงื่อนไข/จุดเด่น
-เหมาะกับระบบการผลิตใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ
เช่น ระบบการผลิตที่เปลี่ยนจากคนมาสู่อัตโนมัติได้ยาก
หรือไม่มีเอาท์ซอร์ซรายใดเคยทำมาก่อน
หรือทำแล้วยังพบข้อบกพร่อง หรือติดข้อจำกัดของผู้ประกอบการ
-เหมาะกับโครงการที่มีงบประมาณจำกัด
เมื่อ“ที่ปรึกษาการผลิต”
เป็นผู้ทำแบบระบบการผลิตใหม่เอง
ก็เท่ากับว่าผู้ประกอบการจะรู้รายละเอียดทั้งหมด และต้นทุนซึ่งถ้าสูงไป
หรือมีข้อกำหนดที่ไม่เพียงพอ ไม่ถูกใจ “ที่ปรึกษาการผลิต”สามารถปรับเปลี่ยนได้หมด เพื่อให้อยู่ในงบประมาณ
และเป็นไปตามข้อกำหนดที่ต้องการ
-ลดโอกาสล้มเหลว
โดยขั้นตอนทำงานที่มีเป็น
2 ส่วน คือขั้นตอนขั้นแรก“ที่ปรึกษาการผลิต” จะเป็นผู้ทำแบบระบบการผลิตใหม่
ซึ่งขั้นนี้เป็นโอกาสอันดี ที่ผู้ประกอบการจะได้ตรวจสอบได้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นการลดโอกาสล้มเหลว
และขั้นตอนที่2 คือ ขั้นตอนการผลิต ที่เอาท์ซอร์ซจะรับผิดชอบงานน้อยลง และสามาถเลือกเอาท์ซอร์ซที่เชี่ยวชาญในงานผลิตมาทำได้โดยตรง
ซึ่งเป็นการลดปัญหา ลดโอกาสล้มเหลว
-ขอทุนได้
เมื่อเป็นระบบการผลิตใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ และอาจต้องพัฒนาเครื่องจักร
หรือหุ่นยนต์แบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งเข้าเงื่อนไขความเป็นการเป็นนวัตกรรม
ก็ย่อมมีโอกาสขอทุนได้
-ยืดหยุ่น
สามารถใช้กับระบบการผลิตใหม่แบบไหนก็ได้ สินค้าอะไรก็ได้ โดยเฉพาะทีมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ และเหมาะกับกิจการที่มีข้อจำกัดอื่นๆ
อีก เช่น พื้นที่จำกัด เป็นต้น ก็สามารถพัฒนาให้เป็นไปตามข้อจำกัดนั้นได้
เงื่อนไข/จุดอ่อน
-ยุ่งยาก
เมื่อเทียบกับโมเดลแรก
โมเดลนี้ เหมือนแบ่งเป็น 2 โครงการย่อย ซึ่งแน่นอนยุ่งยากกว่าแน่ และจำเป็นต้องมีการว่าจ้าง“ที่ปรึกษาการผลิต” มาช่วยเท่านั้น ไม่มีนี่จบเลย เหนื่อย
อาจจะมีบางกิจการโดยเฉพาะขนาดใหญ่ ที่มีแผนกพัฒนาการผลิต ทำหน้าที่นี้โดยตรง แต่พวกนี้จะเน้นไปที่การ
optimize ระบบการผลิต(เน้นลดต้นทุน ลดของเสีย)
มากกว่า จะไม่เชี่ยวชาญการพัฒนาระบบการผลิตอัตโนมัติ ด้วยเหตนี้เขาก็ต้องว่าจ้าง
“ที่ปรึกษาการผลิต” มาช่วยในที่ที่ขาดอยู่ดี
รูปโมเดลที่
2
สรุป ง่ายๆ สำหรับโมเดลที่ 2
“ที่ปรึกษาการผลิต” ทำแบบระบบการผลิตใหม่ และแผนโครงการ ส่วนการผลิต(ทั้งหมด) จ้างเอาท์ซอร์ซทำ เหมาะกับระบบการผลิตใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ มีโอกาสขอทุนได้
และควบคุมงบประมาณได้ดีกว่า รู้งบประมาณโครงการละเอียดก่อนทำ
โมเดลที่ 3.งบประมาณจำกัด
สำหรับกิจการที่ไม่ได้ใหญ่มาก
มีงบประมาณไม่สูงมาก แต่ต้องการเป็น Smart Factory แบบนี้จะทำอย่างไร
ซึ่งต้องเขาใจว่า Smart Factory มีราคาของมัน ซึ่งมองว่าสูงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการทำแล้ว สามารถเอาเรื่องความได้เปรียบในการแข่งขันที่ได้
ไปใช้ได้แค่ไหน ถ้าใช้ประโยชน์ได้ก็ถือว่าราคาไม่สูง และเมื่อมาถึงตรงนี้ถ้าผู้ประกอบการที่มีงบประมาณแบบจำกัดจริงๆ
แต่เห็นประโยชน์ของ Smart Factory และต้องการทำ แบบนี้จะเป็นไปได้ไหม ถ้าตอบตรงนี้ ก็พอเป็นไปได้แต่ต้องใช้โมเดลที่ 3
โมเดลนี้มีหลักการง่ายๆ
คือ ทำเองให้มากที่สุด เอาท์ซอร์ซเท่าที่จำเป็น
ขั้นตอนการทำงานของ
โมเดลที่ 3.งบประมาณจำกัด
ขั้นที่ 1.ทำแบบระบบการผลิตใหม่
-“ที่ปรึกษาการผลิต” จะเป็นผู้ทำแบบระบบการผลิตใหม่ และทำแผนโครงการ
ขั้นที่ 2.งานออกแบบ
-ที่ปรึกษาการผลิตจะออกแบบระบบทางกล
งานไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ระบบควบคุม และงานเขียนโปรแกรม
-เมื่องานออกแบบแล้วเสร็จ ก็จะคัดเลือก และส่งงานผลิตให้เอาท์ซอร์ซทำ
โดยให้ เอาท์ซอร์ซ เสนอแผนงาน และราคางาน
โดย“ที่ปรึกษาการผลิต”
จะเข้าไปดูในรายละเอียดทั้งหมดว่าที่เอาท์ซอร์ซเสนอมานั้นเหมาะสม
และเป็นไปตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ และคุ้มค่าต่อราคาโครงการหรือไม่
และรวมถึงความน่าเชื่อถือในการทำงานว่ามีโอกาสล้มเหลวแค่ไหน
หรือจะมีข้อเป็นห่วงอะไรบ้าง เป็นต้น
ขั้นที่ 3.การผลิต
“ที่ปรึกษาการผลิต” ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบการผลิตให้เป็นไปตามแผนโครงการ
และ แบบระบบการผลิตใหม่ ตามข้างต้น
โดย“ที่ปรึกษาการผลิต”จะแบ่งงานการผลิตเป็น
2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มงานผลิต
-งานผลิตชิ้นส่วน
-งานผลิตและติดตั้งระบบควบคุม
-งานจัดซื้อ/จัดหา
(ถ้ามี) เช่น
ซื้อหุ่นยนต์ และเครื่องจักร ให้จัดซื้อจากตัวแทนจำหน่ายเอง(ผู้ประกอบการซื้อเอง)
กลุ่มงานติดตั้ง ทดสอบ
-งานประกอบ และการติดตั้ง
-งานทดสอบ
เงื่อนไข/จุดเด่น
-เหมาะกับระบบการผลิตใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ
เช่น ระบบการผลิตที่เปลี่ยนจากคนมาสู่อัตโนมัติได้ยาก
หรือไม่มีเอาท์ซอร์ซรายใดเคยทำมาก่อน
หรือทำแล้วยังพบข้อบกพร่อง หรือติดข้อจำกัด
-เหมาะกับโครงการที่มีงบประมาณจำกัดมากๆ
เมื่อ“ที่ปรึกษาการผลิต”
เป็นผู้ทำแบบระบบการผลิตใหม่ ทำแผนโครงการ และออกแบบเอง
ก็เท่ากับว่าผู้ประกอบการจะรู้รายละเอียดทั้งหมด และสามารถควบคุมต้นทุน
ซึ่งถ้าสูงไป หรือมีข้อกำหนดที่ไม่เพียงพอ ไม่ถูกใจ “ที่ปรึกษาการผลิต”สามารถปรับเปลี่ยนได้หมด
เพื่อให้อยู่ในงบประมาณ และเมื่อนำเอางานผลิตมาทำเอง เลือกเอาท์ซอร์ซผลิตชิ้นส่วนเองก็จะสามารถลดต้นทุนได้อีก
-ลดโอกาสล้มเหลว
โดยขั้นตอนทำงานที่มีเป็น
2 ส่วน ส่วนแรก คือทำแบบระบบการผลิตใหม่
ทำแผนโครงการ และออกแบบ โดย “ที่ปรึกษาการผลิต” และส่วนที่ 2 คือ ขั้นตอนการผลิตที่สามาถเลือกเอาท์ซอร์ซที่เชี่ยวชาญผลิตชิ้นส่วน
และงานประกอบ มาทำได้โดยตรงซึ่งเป็นการลดปัญหา ลดโอกาสล้มเหลว
-ขอทุนได้
กรณีที่เป็นระบบการผลิตใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ
และอาจต้องพัฒนาเครื่องจักร หรือหุ่นยนต์แบบใหม่ขึ้นมา
ซึ่งเขาเงื่อนไขความเป็นการเป็นนวัตกรรม ก็สามารถขอทุนได้
-ยืดหยุ่น
สามารถใช้กับระบบการผลิตใหม่แบบไหนก็ได้
ทีมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณมากๆ และเหมาะกับกิจการที่มีข้อจำกัดอื่นๆ
อีก เช่น พื้นที่จำกัด เป็นต้น ก็สามารถพัฒนาให้เป็นไปตามข้อจำกัดนั้นได้
เงื่อนไข/จุดอ่อน
-ยุ่งยาก
เมื่อเทียบกับโมเดลแรก
โมเดลนี้ เหมือนแบ่งเป็น 2 โครงการย่อย ซึ่งแน่นอนยุ่งยากกว่าโมเดลที่ 2 อีก และจำเป็นต้องมีการ
ว่าจ้าง“ที่ปรึกษาการผลิต”
มาช่วยเท่านั้น
-ใช้ระยะเวลา
เมื่อเทียบกับอีก
2 โมเดล โมเดลนี้ใช้เวลามากกว่า ซึ่งเวลาที่เพิ่มมาจากการหาเอาท์ซอร์ซ ที่มีจำนวนมากว่าโมเดลอื่น
และรวมถึงเรื่องสำคัญ ที่เป็นอะไรที่ยากมาก ก็คือ จะทำอย่างไรให้อยู่ในงบประมาณที่จำกัดให้ได้
เหมือนที่คำกล่าวว่า
“สำหรับวิศวกรทำของยากโดยไม่บีบเรื่องงบมาก
ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ยาก แต่ถ้าทำของยากเท่ากัน แต่มีงบให้น้อย อันนี้ยาก.....ความยากแปรผันตามงบประมาณ”
-พนักงานต้องช่วย
ในบางกรณีที่กิจการมีความพร้อม
เช่น มีพนักงานเป็นช่างเทคนิค หรือมีพื้นที่สำหรับทำงานก็สามารถเข้ามาช่วย
และเป็นการลดต้นทุนได้อีกด้วย
รูปโมเดลที่
3
สรุป ง่ายๆ สำหรับโมเดลที่ 3
สำหรับกิจการที่มีงบประมาณจำกัดมากๆ ว่าจ้าง
“ที่ปรึกษาการผลิต” ให้ทำมากที่สุด
ว่าจ้างเอาท์ซอร์ซเฉพาะ
ผลิตชิ้นส่วน ประกอบติดตั้งเท่านั้น เหมาะกับระบบการผลิตใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ มีโอกาสขอทุนได้
และควบคุมงบประมาณได้ดีที่สุด
แล้วโมเดลไหนดี
?
คงจะบอกไม่ได้ ว่าโมเดลไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าระบบการผลิตเป็นยังไง
ผลิตอะไร ข้อจำกัดของผู้ประกอบการมีอะไรบ้าง ข้อมูลพวกนี้จะเป็นตัวบอก แนะนำให้ผู้ประกอบขอรับการปรึกษาจาก
“ที่ปรึกษาการผลิต” จะดีที่สุด
แนะนำ