ขั้นตอนการริเริ่มโครงการ (pre-Project process)
1.สร้างความต้องการที่กำหนด
1.1.รวบรวมข้อมูล
รวบรวมปัญหา ความต้องการ ข้อจำกัดทั้งหมด เพื่อสร้าง optimized solution
-ความต้องการเบื้องต้นของโครงการ
-ข้อมูลเทคนิคพื้นฐานที่จำเป็นของโครงการ
-ความต้องการเพิ่มเติมจากลูกค้า
-ข้อกำหนดความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
1.2.เลือกใช้ Solutions ที่เหมาะสม (optimized solution)
-ซึ่งจะเป็นการหาคำตอบที่ดีที่สุดว่าจะใช้ระบบแบบไหน วิธีการทางวิศวกรรมแบบไหน ระบบทางกล/กลไกชนิดไหน และระบบควบคุมแบบไหน เป็นต้น และเลือกใช้เพราะเหตุผลใด โดยพิจารณาความสามารถในการออกแบบ/คำนวณ/พัฒนา และความสามารถด้านการผลิตในประเทศ ความเป็นไปได้ในการจัดหาชิ้นส่วน/อุปกรณ์ ความเป็นนวัตกรรมของระบบที่เลือก(ถ้าต้องการขอทุน) และงบประมาณที่ลูกค้ามี
1.3.ร่างแบบ และทำแบบ 3D เบื้องต้น (3D concept parts)
-นำข้อมูลที่ได้จากข้อ(1.1) และข้อ(1.2) นำมาทำแบบ 3D เบื้องต้น เพื่อใช้สื่อสารสร้างความเข้าใจ และประเมินงบประมาณ
2.ทำงบประมาณ / รายงาน
-จัดทำงบประมาณโครงการ เพื่อใช้เป็นกรอบการลงทุน และจัดทำแผนโครงการ ซึ่งประกอบด้วย
-แผนการพัฒนาออกแบบ
-แผนการผลิต
-แผนการทดสอบ และแก้ไขปัญหา(ถ้ามี)
3.นำเสนอโครงการ ต่อลูกค้า
-นำเสนอแบบ 3D เบื้องต้น
-นำเสนอ optimized solution ตามความต้องการ และข้อจำกัดต่างๆ ของโครงการ
-นำเสนองบประมาณ และแผนงานโครงการ
-สื่อสารและทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย
4.การขอทุนต่อหน่วยงานรัฐฯ
*ในกรณีที่ต้องการขอทุนสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐฯ
-ศึกษาความเป็นไปได้ในการขอทุนสนับสนุน
-ปรับโครงการให้เข้าเงื่อนไขการขอทุนสนับสนุน
-จัดทำข้อกำหนดตามเงื่อนไขการขอทุน
-จัดทำเอกสารโครงการสำหรับการขอทุน
-จัดทำ หรือปรับแก้แบบ 3D เบื้องต้น สำหรับการนำเสนอ
-นำเสนอโครงการ หรือ สนับสนุนการนำเสนอโครงการ
ขั้นตอนทำโครงการ (Project process)
5.กระบวนการคำนวน และออกแบบ
5.1.ทำแบบ 3D จริงเพื่อใช้สำหรับการคำนวณ
ซึ่งเป็นแบบที่สัมพันธ์ และทำงานร่วมกับชิ้นส่วน/ส่วนประกอบอื่นของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
**กรณีที่ทำงานร่วมกับ designer กระบวนการนี้เป็นหน้าที่ของ designer
5.2.สร้างโจทย์ทางวิศวกรรม
-สร้างสมมติฐานเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานผลิตภัณฑ์จริง ซึ่งอาจมีหลายกรณี (Simulation Case) ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสถานการณ์จริงที่เจอ
-แยกแยะและพิจารณาว่าเป็นปัญหา Statics (คงที่) หรือ Dynamics (พลวัต)
-สร้าง Simulation Case ให้ครบตามสมมติฐานที่กำหนด
-นำข้อกำหนดต่างๆ ที่อยู่ใน"ความต้องการที่กำหนด" มาเปลี่ยนเป็นตัวเลข เพื่อเตรียมสำหรับขั้นต่อไป
5.3.Statics & Dynamics (Kinematic / Kinetic) Design
-นำตัวเลขทั้งหมดจากข้างต้นมาคำนวณด้วยวิธี statics & dynamics design เพื่อใช้เป็น "ข้อมูลสำหรับคำนวณ" เช่น ความเร็ว ความเร่งทั้งเชิงเส้น และเชิงมุม หรือ force ,torque ,impact force หรือ enforced displacement เป็นต้น
-จะเลือกใช้ข้อมูลสำหรับคำนวณ ชนิดไหน ค่าไหนนั้นขึ้นอยู่กับ Simulation Case นั้นๆ ว่าสนใจปัญหาอะไร
5.4.Stress Analysis
-กระบวนการคำนวณเพื่อหาความเสียหายของชิ้นงานในรูปแบบต่างๆ ทั้ง Statics และ Dynamics รวมถึงวิเคราะห์ความเสียหาย และการปรับแบบเพื่อควบคุมความเสียหาย
-คำนวณชิ้นงานที่รับ load แบบ Statics เช่น force หรือ torque คงที่ เป็นต้น
-คำนวณชิ้นงานที่รับ load แบบ Statics เช่น force หรือ torque คงที่ เป็นต้น
-คำนวณชิ้นงานที่รับ load แบบ Dynamics เช่น แรง force หรือ torque ที่แปรผันตามเวลา เป็นต้น
-คำนวณ Fatigue Analysis เพื่อประเมินอายุของชิ้นงานเป็น ชั่วโมง(จำนวนรอบทำงาน) เมื่อต้องรับ load แบบหลากหลายตำแหน่ง และ load หลายทิศทาง และ load ซ้ำ กลับไปกลับมา(cyclic load) ตามจำนวนรอบทำงาน
-คำนวณ Natural Frequency เพื่อหลีกเลี่ยงการสั่นพ้อง
-คำนวณ Dynamic analysis
-frequency response
-transient response
**ขั้นตอนนี้อาจทำซ้ำๆ ไปมาเพื่อปรับแบบ 3D จริง ของชิ้นส่วน และกลไกของผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตาม "ความต้องการที่กำหนด"
5.5.การคำนวณเพื่อเลือกอุปกรณ์สำเร็จรูป
เช่น การเลือก Harmonic gear (ตัวอย่าง)
-คำนวณอายุการใช้งาน ของ wave generator และ flex spline การคำนวณ average load torque และ radial load เป็นต้น เพื่อหาคำตอบว่า Harmonic gear ที่จะใช้นั้นจะมีอายุตามที่ต้องการหรือไม่
-การออกแบบชิ้นส่วนสำหรับติดตั้ง Harmonic gear กับส่วนประกอบอื่น เป็นต้น
เช่น AC Servo Motor (ตัวอย่าง)
-คำนวน Max torque ,Rate torque และ negative torque เป็นต้น เพื่อเลือกขนาด motor เพื่อนำค่าที่ได้ไปใช้ในคำนวณด้าน stress analysis ต่อไป
-คำนวน Max torque ,Rate torque และ negative torque เป็นต้น เพื่อเลือกขนาด motor เพื่อนำค่าที่ได้ไปใช้ในคำนวณด้าน stress analysis ต่อไป
**เป็นการคำนวนเพื่อเลือกอุปกรณ์สำเร็จรูปอย่างถูกต้องตามแนวทางของผู้ผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์สำเร็จรูปนั้น จะมีอายุใช้งานเป็นไปตามที่ผู้ผลิตระบุไว้ได้จริง หรือสามารถประเมินอายุใช้งานจริงได้
5.6.การเลือก Material
-ใช้เกณฑ์การตัดสินจาก
-ความปลอดภัย
-failure of engineering materials
-เลือกชนิดวัสดุ เช่น โลหะ พลาสติก และคาร์บอนไฟเบอร์ เป็นต้น
-เลือกกระบวนการทางความร้อน (Heat treatment)
5.7.การคำนวณเพื่อเลือกชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปอื่นๆ เช่น
-Aluminium profile ,pin ,gear ,bearing ,spline shaft (nut) และ screw เป็นต้น
5.8.การทำแบบ (Draft)
-กระบวนการทำแบบ Parts และ Assembly ที่สำเร็จ และนำมาทำ draft ซึ่งมีการกำหนดขนาด surface roughness และ tolerance เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตให้ได้ชิ้นงานตรงตามที่ต้องการ
5.9.Bill of Materials (BOM)
-สำหรับสั่งซื้อ และสั่งผลิต ทั้งชิ้นส่วนสั่งผลิต และอุปกรณ์สำเร็จรูป/กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งรวมถึงแบบสำหรับประกอบ
6.กระบวนการผลิต และทดสอบ
6.1.ควบคุม ติดตาม และแก้ไขปัญหาการผลิต
-ควบคุมการผลิต และการประกอบเพื่อให้เป็นไปตาม draft และ assembly
-ควบคุมติดตามการจัดการ/ตรวจเช็คคุณภาพของวัสด และชิ้นส่วนทั้งหมดต้องเป็นไปตามที่กำหนดตาม draft และ BOM
6.2.ทดสอบ และแก้ไขปัญหา
-สร้างสถานการณ์สำหรับทดสอบผลิตภัณฑ์ โดยต้องเป็นไปตาม simulation case ที่สร้างขึ้นทั้งหมด
-แก้ไขปัญหา(ถ้ามี)